No Favorites

ถือพุทธแล้วก็มาถามว่าถืออย่างอื่นด้วยได้ไหม

ถ้าพูดในแง่ระดับสัทธา ปัญญา ทางเลือกของบุคคล พระพุทธเจ้า ไม่ได้บังคับใครให้มาถือ หรือ ถ้าใครประกาศตนว่าถือแล้ว แต่กลับถือไม่ถูก ทำไม่ถูก กรณีนี้ จะไปทำอะไรได้

...ดังนั้น สาวกทั้งหลายของเรา ผู้อันเราสั่งสอนอยู่อย่างนี้ พร่ำสอนอยู่อย่างนี้ บางพวกก็บรรลุถึงนิพพาน อันจบสิ้นโดยส่วนเดียว บางพวกก็ไม่บรรลุ ดูก่อนพราหมณ์ในเรื่องนี้เราจะทำอย่างไรได้ ดูก่อนพราหมณ์ พระตถาคตเป็นเพียงผู้บอกหนทาง...

...ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเมื่อพระตถาคตเจ้าบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นอยู่อย่างนี้ ผู้ใดไม่รู้ ไม่เห็น เราตถาคตจะทำอะไรเขา ผู้ซึ่งเป็นคนพาล เป็นปุถุชน เป็นคนบอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ไม่เห็นอยู่...

เพราะความบริสุทธิ์และความไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน ผู้อื่นไม่พึงให้ผู้อื่นบริสุทธิ์ได้ ใครถือแล้วตระบัดสัตย์ ทำไม่ถูก ย่อมเป็นโทษแก่ผู้นั้นเอง

......ความชั่วอันบุคคลกระทำด้วยตน บุคคลนั้นจักเศร้าหมองด้วยตนเอง ความชั่วอันบุคคลไม่กระทำด้วยตนบุคคลนั้นจะบริสุทธิ์ด้วยตนเอง ความบริสุทธิ์และความไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน ผู้อื่นไม่พึงให้ผู้อื่นบริสุทธิ์ได้...

ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า "ไม่ได้บังคับ" ในแง่ที่ว่ามานี้ เพราะ "ไม่ได้บังคับ" กับ "ทำผิด" มันคนละเรื่องกัน ไม่ควรดูที่ว่าไม่ได้บังคับ แต่ให้ดูที่ว่า ถ้าประกาศตนว่าถือแล้ว ทำไม่ถูก จะมีโทษอย่างไร ถือแล้วตระบัดสัตย์ จะเป็นยังไง โลกิยสรณคมน์นั้นย่อมเศร้าหมองด้วยความไม่รู้ ความสงสัย และความเห็นผิด เป็นต้น และถ้าถือไม่ถูก ก็เป็นอุบาสกผู้เลวทราม เศร้าหมอง และน่าเกลียด

...ก็ในสองอย่างนี้ โลกิยสรณคมน์จักเศร้าหมองด้วยความไม่รู้ ความสงสัย และความเห็นผิด ในวัตถุ ๓ ประการ (พระรัตนตรัย) เป็นต้น ไม่โชติช่วง ไม่กว้างขวาง ส่วนโลกุตรสรณคมน์ ไม่มีความเศร้าหมอง อนึ่ง การขาดแห่งโลกิยสรณคมน์มีสองอย่างคือ (ขาด) ที่มีโทษ และ(ขาด) ที่ไม่มีโทษบรรดา ๒ อย่างนั้น ความขาดที่มีโทษ มีได้ เพราะการมอบตนในศาสดาอื่นเป็นต้น และความขาดที่มีโทษนั้น มีผลไม่น่าปรารถนา ส่วนความขาดที่ไม่มีโทษ มีได้เพราะถึงแก่กรรม ความขาดนั้นไม่มีผล เพราะไม่มีวิบากส่วนโลกุตรสรณคมณ์ ไม่มีการขาดเลย เพราะว่า พระอริยสาวกแม้ในภพอื่นก็จะไม่อ้างศาสดาอื่น (ว่าเป็นสรณะ) เพราะฉะนั้น พึงทราบความเศร้าหมองและความขาดแห่งสรณคมน์ ดังพรรณนามานี้

ถ้าพูดในแง่ที่พึ่งอันประเสริฐสุด ไม่มีที่พึ่งอื่นยิ่งไปกว่า (มีแต่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่มีริยมรรค 8 และ ทักขิไนยบุคคล 4 คู่)

...ดูก่อนสุภัททะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ หาไม่ได้ในธรรมวินัยใด แม้สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้นสุภัททะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ หาได้ในธรรมวินัยใด แม้สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ หาได้ในธรรมวินัยนั้น สุภัททะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ หาได้ในธรรมวินัยนี้ สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็มีอยู่ในธรรมวินัยนี้ ลัทธิอื่น ๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ สุภัททะ ก็ภิกษุเหล่านี้ พึงอยู่โดยชอบโลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย

พระองค์ก็ตรัสตรงไปตรงมาว่า อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง

...อานนท์ เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นสรณะอยู่เถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะ จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นสรณะ อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเลย

คงมีแต่ผู้มีปัญญาเท่านั้น ที่อ่านประโยคนี้ "อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเลย" แล้วเข้าใจความหมาย ซึ่งดูเหมือนจะเป็นประโยคง่ายๆ แต่ยากนักที่จะเข้าใจ เพราะบุคคลที่จะถือพระรัตนตรัยได้ “อย่างถูกต้อง” ไม่ใช่เรื่องง่ายและมีปริมาณน้อยด้วย

กระทู้เกี่ยวข้อง :  #บุคคลที่จะถือพระรัตนตรัยได้ “อย่างถูกต้อง” ไม่ใช่เรื่องง่ายและมีปริมาณน้อยด้วย  #อธิบายความหมายธรรม 5 ประการ ของอุบาสกเลวทราม